มหาอำมาตย์ตรีพระยาภูมินารถภักดี เดิมชื่อ ตนกู บาฮารุดดิน บินกูแมะ เป็นบุตรคนที่ ๖ ของนายกูแมะและนางเจ๊ะจิ เกิดที่ตำบล อลอร์สตาร์ อำเภอออลร์สตาร์ รัฐเคดะ (ไทรบุรี) เมื่อ พ.ศ.๒๓๙๑ มีพี่น้องร่วมบิดา ๗ คนเป็น ชาย ๔ คน หญิง ๓ คน พระยาภูมินารถภักดีมีภรรยา ๔ คน มีบุตรธิดา ๗ คน โดยสมรสกับนางสาวเจ๊ะโสมมีบุตรด้วยกัน ๑ คน สมรสกับนางสาวเจ๊ะด๊ะมีบุตรด้วยกัน ๑ คน สมรสกับนางสาวเจ๊ะเต๊ะเชื้อสายคนจีนชาวตำบลฉลุง (บ้านจีน) มีบุตรด้วยกัน ๒ คน ต่อมาสมรสกับนางสาวหวันเต๊ะฮะอุรามีบุตรธิดาด้วยกัน ๓ คน พระยาภูมินารถภักดี คือ ต้นตระกูล บินตำมะหงง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในจังหวัดสตูล
ตนกูบาฮารุดดิน เริ่มชีวิตการรับราชการด้วยการเป็นเสมียน ต่อมาดำรงตำแหน่งพัศดีเรือนจำที่เมืองอลอร์สตาร์ หลังจากนั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นข้าราชการฝ่ายปกครองชั้นสูงทางฝ่ายไทรบุรี ในปี พ.ศ. ๒๔๓๘ เมืองไทรบุรีได้ส่งตนกูบาฮารุดดิน มาช่วยราชการเมืองสตูล เนื่องจากพระยาอภัยนุราชเจ้าเมืองสตูลป่วย ไม่สามารถบริหารบ้านเมืองให้เกิดผลดีได้ กระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๔๐ สตูลว่างเจ้าเมือง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมเมืองไทรบุรี เปอร์ลิส และสตูล เป็นเขตการปกครองเดียวกัน ขึ้นต่อมณฑลภูเก็ตและทรงแต่งตั้งตนกูบาฮารุดดิน ให้ดำรงตำแหน่ง เจ้าเมืองสตูล สืบต่อมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๔๓ โดยให้ลงนามลงในหนังสือราชการว่า
"ตนกูบาฮารุดดินบินกูแมะ"ต่อมาได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯเป็นหลวงอินทรวิชัยและพระยาอิินทรวิชัย ตามลำดับ
ตำแหน่งสุดท้ายคือ มหาอำมาตย์ตรี พระยาภูมินารถภักดี จางวาง กำกับเมืองสตูล ท่านดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองสตูลอยู่ ๑๔ ปี ออกจากราชการเมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๗ และถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๗๕ อายุรวม ๘๓ ปี ได้ทำพิธีฝังศพที่สุสานมากามาฮา ซึ่งเป็นที่ดินของท่านที่ได้อุทิศไว้สำหรับฝังศพชาวมุสลิมทั่วไปด้วย สุสานแห่งนี้ชาวบ้านเรียกว่า สุสานพระยาภูมินารถ ตั้งอยู่ที่ถนนสตูลธานี ซอย ๑๗ (กูโบร์)
ผลงานหรือเกียรติคุณที่ได้รับ
แม้ว่าจะมิได้สืบสายเจ้าเมืองสตูลเดิม แต่ท่าน ตนกูบาฮารุดดินบินกูแมะ ฏ้เป็นนักปกครองที่มีความสามารถ ท่านรู้แตกฉานทั้งภาษาไทยและภาษามลายู จึงสามารถประสานความร่วมมือทั้งท้องถิ่นและทางราชการได้ดี ในยุคที่ตนกูบาฮารุดดินเป็นเจ้าเมือง เมืองสตูลมีความเจริยขึ้นอย่างรวดเร็ว เศรษฐกิจได้ผลจากการค้ารังนกและพริกไทยเป็นอันมากทั้งยังเป็นศูนย์กลางรับซื้อขายสินค้าทั้งจากปีนังและภูเก็ต จนทำให้เมืองสตูลได้ชื่อว่า "นัครีสะโตยมัมบังสการา"(Negeri Setol Mum Bang Segara) หรือแปลเป็นภาษาไทยว่า สตูล เมืองแห่งพระสมุทรเทวา และเป็นหัวเมืองที่มีความสำคัญมากในยุคนั้น กล่าวกันว่าท่านมีความสนิทสนมกับทางราชการกรุงสยามเป็นพิเศษ ถึงกับสั่ง"บุหงามาศ"
เครื่องราชบรรณาการถวายต่อราชสำนักสยามโดยตรง โดยไม่ผ่านเมืองไทรบุรี
เมืองสตูลได้แยกจากเมืองไทรบุรีอย่างเด็ดขาด ตามหนังสือสัญญาไทยกับอังกฤษ เรื่องปักปันเขตแดนระหว่าง ไทยกับสหพันธรัฐมลายู ซึ่งลงนามกันที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ร.ศ.๑๒๗
(พ.ศ.๒๔๕๒) จากหนังสือสัญญานี้ ยังผลให้ไทรบุรีและเปอร์ลิสตกเป็นของอังกฤษส่วนสตูลคงเป็นไทยสืบมาจนถึงปัจจุบัน
"พระยาภูมินารถภักดี"เคยใช้กุศโลบายอันแยบยล รักษาพื้นที่ "เกาะตะรุเตา อาดังราวีและเกาะหลีเป๊ะ"ให้ยังคงอยู่ในเขตราชอาณาจักรไทยไม่ตกไปอยู่ในมือเจ้าอาณานิคมอังกฤษ ที่พยายามจะล้ำเส้นเขตแดนเข้ามาฮุบไป...ถ้าไม่มีเจ้าเมืองสตูลที่มีความสามารถรอบคอบอย่างท่าน ป่านนี้เกาะหลีเป๊ะอันแสนงาม คงอยู่ในเขตประเทศมาเลเซียเหมือนเกาะลังกาวีแล้ว
พระยาภูมินารถภักดี เป็นผู้มีความจงรักภักดีต่อแผ่นดินไทยบริหารบ้านเมืองด้วยความบริสุทธิ์ใจ ราษฎรอยู่กันอย่างสงบสุข มีความเจริญก้าวหน้า บ้านพักของพระยาภูมนารถภักดี คือที่ตั้งโรงแรมพินาเคิลวังใหม่ทุกวันนี้ ชาวสตูลสมัยก่อนนิยมเรียก วังเก่า หมายถึง คฤหาสน์ หรือ จวน ของผู้ว่าราชการเมือง หรือเจ้าเมือง เมืองสตูลถูกปกครองด้วยเชื้อสายของพระยาไทรบุรี ระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๘๒-๒๔๔๓ เป็นเวลากว่า ๖๐ ปี พระยาภูมนารถภักดีจึงเป็นผู้ว่าราชการเมืองสตูลคนแรกที่เป็นคนธรรมดาสามัญ ไม่มีเชื้อสายของเจ้าพระยาไทรบุรีแต่อย่างใด พระยาภูมินารถภักดี เป็นนักปฏิรูปบ้านเมืองจนพัฒนาเมืองสตูลขึ้นต่อมณฑลภูเก็ต มีพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดีเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑล เป็นผู้นำสำคัญอยู่ด้วย